วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2552

งานรับปริญญา ณ มหาวิทยาลัยนเรศวร พิษณุโลก

เมื่อวันที่ 16-17 ธันวาคม 52 ที่ผ่านมา ครอบครัวเราได้เดินทางไปร่วมแสดงความยินดีกับลูก ในวันรับปริญญาพยาบาลศาสตร์จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ณ มหาวิทยาลัยนเรศวร ตลอดเส้นทางการเดินทางจากโคราชไปพิษณุโลก เราได้แวะเที่ยวชมและนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของแต่ละท้องถิ่นไปด้วย

วัดแรกที่เราได้ไปกราบนมัสการพระธาตุคือ วัดจันเสน พิพิธภัณฑ์จันเสน อยู่ใน “วัดจันเสน” ที่ตั้งอยู่ ต.จันเสน อ.ตาคลี วัดนี้นักโบราณคดีสันนิษฐานว่า เคยเป็นส่วนหนึ่งของเมืองโบราณมาตั้งแต่สมัยทวาราวดี มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 11-13
โดยสิ่งชวนมองเป็นอย่างยิ่งในวัดจันเสนก็คือมณฑปที่สร้างโดยหลวงพ่อโอด หนึ่งในพระเกจิชื่อดังของนครสวรรค์


หลวงพ่อโอด อดีตเจ้าอาวาสวัดจันเสน ซึ่งท่านมรณภาพไปตั้งแต่ปี พ.ศ.2532 ท่านเป็นผู้มุ่งมั่นที่จะสร้างมณฑปเจดีย์ขึ้น โดยมีความมุ่งหมายว่า


1. ส่วนยอดของมณฑปเจดีย์จะบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
2. องค์เรือนธาตุประดิษฐาน “หลวงพ่อนาค” พระพุทธรูปปางนาคปรก ที่นำมาจากเมืองลพบุรีเพื่อให้เป็นพระพุทธรูปสำคัญของชุมชน

3. อาคารส่วนฐานของพระมหาเจดีย์ เป็นที่ประดิษฐานรูปปั้นของท่าน และเป็นพิพิธภัณฑ์เมืองจันเสน



พิพิธภัณฑ์แห่งนี้อยู่ในวัดจันเสน อ.ตาคลี จ. นครสวรรค์ เปิดให้เข้าชมตั้งแต่ปี พ.ศ.2539 ปัจจุบันเปิดให้เข้าชมได้ในวันเสาร์-อาทิตย์ โดยไม่คิดค่าบริการ หากเข้าไปในวัดแล้วเห็นเจดีย์รูปทรงสวยงามรูปร่างแปลกตา เจดีย์นี้คือ “พระมหาธาตุเจดีย์ศรีจันเสน” รูปแบบสถาปัตยกรรมศิลปะยุคทวาราวดี ใช้พื้นที่ฐานด้านล่างเป็นที่จัดแสดงของพิพิธภัณฑ์


หัวใจหลักของการจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์คงหนีไม่พ้นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีของชุมชนจันเสน ภายในพิพิธภัณฑ์จัดแสดงโบราณวัตถุที่ขุดค้นพบจากเมืองโบราณจันเสน ซึ่งเป็นของจัดแสดงหลักและได้ชื่อว่าเป็นดาวเด่นของพิพิธภัณฑ์ อย่างเช่นโครงกระดูก ตราประทับ และเครื่องประดับยุคโบราณ วัตถุโบราณที่ทำจากดินเผา เช่น พระพิมพ์ ตุ๊กตา ตะเกียง หรือวัตถุที่ทำด้วยหิน เช่น ฐานบัว ธรรมจักร ขวานหิน เป็นต้น

ภายในบริเวณวัด มีการสอนศิลปหัตถกรรมพื้นบ้าน เนื่องจากหลวงพ่อโอดท่านเมตตาก่อตั้งและให้การสนับสนุนงานอาชีพของชาวบ้านในชุมชน มีการจัดตั้งกลุ่มจนทุกวันนี้

จากนั้นเราเดินทางต่อไปวัด "ช่องแค" ของหลวงพ่อพรหม ที่วัดนี้มีผู้กราบขอพรจากหลวงพ่อและเพิ่งถูกรางวัลที่ 1 ได้ 37 ล้าน สาธุ
จากนั้นเราก้เดินทางต่อไปที่วัดป่าสิริวัฒนวิสุทธิ์ ในพระองค์ ได้เห็นความงดงามจากที่ไกล ไม่สามารถขึ้นไปข้างบนได้เนื่องจากไม่มีรถพาขึ้น

เราถึงที่นัดหมายคือวัดใหญ่ "วัดพระศรีรัตนศาสดาราม" เมื่อเวลาประมาณ 4 โมงเย็น กราบนมัสการขอพรพระ ทำบุญ แล้วจึงเข้าที่พัก


รุ่งเช้าเป็นวันพระราชพิธี เราเดินทางไปมหาวิทยาลัยแต่เช้า พระอาทิตย์กำลังจะขึ้น
ก่อนที่ลูกๆจะเข้าหอประชุม ก็ได้เจอะเจอกัน และถ่ายภาพบรรยากาศงานสำคัญนี้ไว้

ขณะเดินทางออกจากมหาวิทยาลัยมุ่งสู่โคราช


































































































วันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ไปทำบุญ 12 วัดในสองวัน

ปิดเทอมเดือนตุลาคมปีนี้ สองผู้เฒ่าได้ไปทัวร์อีสานช่วงทำบุญออกพรรษา สองวันเต็มๆ (12-13 ต.ค.52) อิ่มบุญมากๆเลยค่ะ ดีใจที่ตัดความโลภ ความโกรธ ลงได้บ้าง ไปที่ใดก็มีแต่พบคนดีๆมีน้ำใจ เราเองก็มีโอกาสเป็นผู้ให้บ้าง ตอนแรกกะว่าจะไปทำบุญ 9 วัด เอาเข้าจริง ภายในสองวันเดินทางไปได้ถึง 12 วัดแน่ะ

เส้นทางการเดินทางคราวนี้คือ.. เราออกเดินทางจากอำเภอขามสะแกแสง โคราชเวลา 6.30 น. ผ่านอำเภอโนนสูงออกไปทางวัดบัว เข้าสู่ถนนสายมิตรภาพ ผ่านจังหวัดขอนแก่นมุ่งหน้าไปทางเขื่อนอุบลรัตน์ วัดแรกที่ไปถึงเมื่อเวลา 9.19 น.คือวัดพระบาทภูพานคำ

วัดพระพุทธบาทภูพานคำ เป็นวัดที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลองและพระพุทธรูปสีขาวขนาดใหญ่บนยอดภูพานคำ ใกล้ทางเข้าเขื่อนอุบลรัตน์...

ตั้งอยู่บริเวณไหล่เขาภูพานคำ อำเภออุบลรัตน์ เป็นที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลองในมณฑป และ พระพุทธรูปสีขาวขนาดใหญ่ หรือหลวงพ่อใหญ่ สูง 14 เมตร อยู่บนยอดเขา มีบันไดทางขึ้นจากลานวัดไปยังยอดเขาจำนวน 1,049 ขั้น หรือจะขับรถยนต์ขึ้นไปถึงยอดเขาก็ได้ บนยอดเขามองเห็นทัศนียภาพทะเลสาบเขื่อนอุบลรัตน์ได้สวยงาม

การเดินทาง ใช้เส้นทางเดียวกับทางไปเขื่อนอุบลรัตน์ ก่อนถึงประตูทางเข้าบริเวณเขื่อนจะมีป้ายวัดอยู่ด้านซ้ายมือ หรือจะใช้ทางเข้าวัดซึ่งอยู่ตรงข้ามกับโรงพยาลอุบลรัตน์ก็ได้

เมื่อไปถึงจึงเข้าไปกราบเจ้าอาวาส ท่านบอกว่าขณะนี้กำลังก่อสร้างมณฑปใหม่ สามารถขับรถขึ้นไปได้เลย เราจึงได้มีโอกาสไปกราบบูชารอยพระพุทธบาท

ในพิธีตักบาตรเทโว จะมีการอัญเชิญพระพุทธรูปและใส่บาตรตลอดเส้นทางลงตามบันได

คลิกชมภาพที่ http://www.ubolratanamuni.org/

จากนั้นเราก็เดินทางต่อไปถึง"ปโมทิตะเจดีย์ พระบรมสารีริกธาตุ " วัดป่าหลวงปู่หลอด เวลา 10.37 น.
จุดหมายต่อไปคือวัดถ้ำกลองเพล หลวงปู่ขาว อนาลโย ขับรถไปตามถนนเลียบเขื่อน ผ่านสุสานหอยล้านปี แล้วก็ถึงปากทางเข้าวัดถ้ำกลองเพล จังหวัดหนองบัวลำภู

ถวายสังฑทานแด่สามเณร กราบอาจารย์หมออวย แล้วก็เดินทางต่อไปยังวัดพระธาตุบังพวน อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย

ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ http://www.watprathatbangphuan.com/index.php

จากนั้นจุดหมายต่อไปคือไปกราบหลวงพ่อพระใส วัดโพธิ์ชัย จังหวัดหนองคาย

ดูรายละเอียดได้ที่ http://blog-of-opun.blogspot.com/
ปิดท้ายการเดินทางวันนี้ ด้วยการไปทำบุญที่วัดศรีเมือง ท่าเสด็จ กราบหลวงพ่อพระไชยเชษฐา แวะเดินดูของในตลาดอินโดจีน จนเวลาใกล้ค่ำ หลังจากพักผ่อนสักครู่แล้วก็ออกมาทานอาหารค่ำริมฝั่งโขง ชมบรรยากาศสบายๆยามเย็น (ฝั่งตรงข้ามเป็นเขต ส.ป.ป.ลาว)


วันรุ่งขึ้น..วันอังคารที่ 13 ต.ค.52 ลืมไปวันนี้เป็นวันตำรวจ ก็ยังงี้ทุกทีถ้าได้เที่ยว เราออกเดินทางหลังรับประทานอาหารเช้าที่โรงแรมแล้ว วันนี้มีฝนตกแต่ก็มิได้เป็นอุปสรรคในการเดินทาง เนื่องจากเมื่อพ้นเขตอำเภอเมืองแล้วก็ไม่มีฝน

เราขับรถไปตามถนนริมแม่น้ำโขง สามารถมองเห็นได้ในระยะสายตา พอเข้าเขต อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย ซึ่งห่างจากอำเภอเมืองประมาณ 90 ก.ม. ก็เจอวัดหนึ่งชื่อวัดเทพวิมุติ ตั้งอยู่ติดริมน้ำก็เลยจอดรถเข้าไปกราบพระ ทำบุญ ดูชาวบ้านที่กำลังหาปลาในแม่น้ำ ตลอดเส้นทางสายนี้ จะมีจุดชมบั้งไฟพญานาคตลอดทาง


หลังจากนั้นไม่นานเราก็พบวัดที่มีลักษณะพิเศษโดดเด่นมากเนื่องจากมีหินก้อนขนาดมหึมาอยู่เต็มไปหมด เป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก อยู่ที่ อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย ชื่อวัดอาฮงศิลาวาส เรียกว่าเป็นสะดือแม่น้ำโขง เป็นจุดที่ลึกที่สุด เป็นแอ่งน้ำวนอันตรายที่สุด เป็นจุดชมบั้งไฟพญานาคที่สวย มีที่พักด้วย

(ฝั่งลาวอยู่ตรงข้ามวัดอาฮง)

อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ค่ะ http://social.eduzones.com/diaw30/23423
เมื่อออกจากวัดอาฮงเราเดินทางต่อไป จุดหมายปลายทางคือ พระธาตุท่าอุเทน พระธาตุเรณูนคร และพระธาตุพนม จังหวัดนครพนม ขับรถใช้เวลากว่าสองชั่วโมง เป็นช่วงที่ยาวที่สุด เราถึงพระธาตุ
ท่าอุเทนประมาณเที่ยงครึ่ง เป็นพระธาตุที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง
กราบขอพรพระธาตุท่าอุเทนแล้วเราก็ขับรถชมริมโขง แต่ด้วยความไม่รู้จักเส้นทางจึงหลงเข้าไปในงานเลี้ยงวันตำรวจ ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
จากวัดท่าอุเทนไปอีกไกลพอสมควร ลูกโทรบอกให้ลองไปวัดพระพุทธบาทเวินปลา เราไม่ค่อยแน่ใจนักว่าจะหาพบได้อย่างไร สุดแล้วแต่บุญก็แล้วกันไม่นานเราก็เห็นซุ้มประตูทางเข้าหมู่บ้าน ช่วงเดือนตุลาคมนี้ไม่สามารถเห็นรอยพระพุทธบาทได้ หากต้องการสักการะต้องมาในช่วงเดือน มกราคม ถึงเดือนพฤษภาคม เดือนเมษายน ช่วงสงกรานต์จะเหมาะที่สุด โดยจะมีเรือนำไปบูชารอยพระพุทธบาท กลางลำน้ำโขง
ลองศึกษาข้อมูลได้ที่นี่ค่ะ http://www.tamroiphrabuddhabat.com/
และที่ http://www.baanmaha.com/
จุดหมายต่อไปคือพระธาตุเรณูนคร เราผ่านจุดที่กำลังถูกสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่สาม
ไม่นานเราก็ถึงพระธาตุเรณูนคร อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.tessabanrenu.com/temple.html
การทัวร์ไหว้พระเกือบครบแล้ว เหลืออีกแห่งที่เป็นไฮไลท์ของทริปนี้คือการไปไหว้พระธาตุพนม เป็นพระธาตุของคนเกิดปีวอกและวันจันทร์
พระธาตุพนม ประดิษฐาน ณ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหารในเขตอำเภอธาตุพนม ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 50 กม.(ทางหลวงหมายเลข 212) ผลจากการขุดค้น ทางโบราณคดีลงความเห็นว่าพระธาตุพนมสร้างขึ้นระหว่าง พ.ศ.1200-1400 ภายในองค์พระธาตุบรรจุพระอุรังคธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ลักษณะของ สถาปัตยกรรมมีแหล่งที่มาที่เดียวกันกับปราสาทของขอม และได้ทำการบูรณะเรื่อยมา
ในปี พ.ศ.2485 ได้รับการยกฐานะเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ขึ้นเป็น"วรมหาวิหาร" ต่อมาในวันที่ 11สิงหาคม 2518 เวลา 19.38 น.พระธาตุพนมได้ล้มทลายลงทั้งองค์ เนื่องจากความเก่าแก่ขององค์พระธาตุพนมและประจวบ กับระหว่างนั้นฝนตกพายุพัดแรงติดต่อมาหลายวัน ประชาชนทั้งประเทศได้ร่วมบริจาคทุนทรัพย์และรัฐบาลได้ก่อสร้างองค์พระธาตุขึ้นใหม่ตามแบบเดิม การก่อสร้างนี้เสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2522
นอกจากพระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุในองค์พระธาตุแล้ว ยังมีของมีค่ามากมายนับหมื่นชิ้นโดยเฉพาะฉัตรทองคำ บนยอดพระธาตุ มีน้ำหนักถึง 110 กิโลกรัม ปัจจุบันองค์พระธาตุสูง 53.60 เมตร เป็นเจดีย์ทรงสี่เหลี่ยมสูงแลดูสง่างาม งานนมัสการองค์พระธาตุเริ่มตั้งแต่วันขึ้น 12 ค่ำ ถึงวันแรม 1 ค่ำ เดือน 3 ของทุกปี

ที่มา http://www.geocities.com/wnicha/special.htm
อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ค่ะ http://www.heritage.thaigov.net/religion/pratat/index06.htm

เราออกเดินทางจากพระธาตุพนม อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม เมื่อเวลา 16.00 น. กลับถึงบ้านที่อำเภอขามสะแกแสงเวลา 22.00 น.